วันจันทร์

แอ่ววัด แอ่วเวียง วัดเจดีย์ซาวหลัง และร่วมเรียนรู้เกี่ยวกับการทำรถม้า


วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม 2551 เจ้าหน้าที่และสมาชิกศูนย์การเรียนรู้ได้เดินทางไปทัศนศึกษาในกิจกรรมชมรมแอ่ววัดแอ่วเวียง โดยเดินทางไปที่วัดเจดีย์ซาวเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของท้องถิ่นและถวายสังฆทานและปัจจัยแด่เจ้าอาวาสพร้อมรับฟังธรรมเทศนาก่อนที่จะเดินชมบริเวณวัด โดยมีมัคคุเทศน้อยซึ่งเป็นเยาวชนในชุมชนนั้น เป็นผู้เดินพาชมและอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของวัดได้เป็นอย่างดี

สมาชิกของศูนย์การเรียนรู้ ได้ไปชมสัตว์นานาชนิดที่ทางวัดเลี้ยงไว้ เช่น นกยูง ไก่ และเป็ด พร้อมทั้งให้อาหารปลาในบ่ออภัยทานของวัดด้วย จากนั้นมัคคุเทศน้อยก็ได้อธิบายถึงความเชื่อของการนับจำนวนเจดีย์ทั้งหมดภายในวัดว่า ใครที่สามารถนับเจดีย์ได้ถึง 20 (หรือซาว) เป็นผู้มีบุญ สมาชิกจึงได้พากันนับไปอย่าสนุกสนาน

จากนั้นเจ้าหน้าที่ศูนย์การเรียนรู้ ก็ได้พาสมาชิกเดินทางไปที่ชมรมรถม้าลำปาง ซึ่งเป็นสถานที่ในการประกอบรถม้า และให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของรถม้าลำปาง พร้อมทั้งยังมีการแสดงโชว์เกี่ยวกับม้า เช่น การขี่ม้า โยนบ่วงบาศ ฯลฯ สมาชิกศูนย์ฯได้ร่วมลองทำกิจกรรมโยนบ่วงบาศคล้องคอม้ากับวิทยากรของชมรมรถม้าด้วยบรรยากาศเป็นไปด้วยความสนุกสนาม พร้อมกันนั้นสมาชิกก็ได้ความรู้กลับมามากมาย


ประวัติวัดเจดีย์ซาว
(ข้อมูลจากเว็บไซต์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)


วัดเจดีย์ซาวหลังตั้งอยู่ที่ตำบลต้นธงชัย ห่างจากตัวเมือง 1.5 กิโลเมตร ตามถนนสายลำปาง - แจ้ห่ม คำว่า ซาว แปลว่า ยี่สิบ คำว่า หลัง แปลว่า องค์ ฉะนั้น วัดเจดีย์ซาวหลัง จึงแปลได้ว่าวัดที่มีเจดีย์ 20 องค์ จากหลักฐานการขุดพบพระเครื่องสมัยหริภุญไชยที่องค์พระเจดีย์ ทำให้สันนิษฐานได้ว่าวัดนี้สร้างมานานกว่าพันปี

จุดเด่นของวัด คือ องค์พระธาตุเจดีย์ซาว ที่มีศิลปะล้านนาผสมศิลปะพม่า เชื่อกันว่าหากใครนับได้ครบ 20 องค์ถือว่าเป็นคนมีบุญ ข้างหมู่พระเจดีย์มีวิหารหลังเล็ก ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดปางสมาธิ ศิลปะเชียงแสน ชาวบ้านเรียกว่า พระพุทธรูปทันใจ พระอุโบสถหลังใหญ่ ประดิษฐานพระประธานปางมารวิชัยที่มีพุทธลักษณะงดงาม บานประตูทั้งสามเป็นของโบราณ เขียนลวดลายรดน้ำละเอียดสวยงาม เสาซุ้มประตูหน้าต่างประดับลวดลายกระจกสีเป็นลักษณะศิลปะสมัยใหม่ และที่ศาลาการเปรียญเรือนไม้ชั้นเดียว

ด้านหลังพระอุโบสถเป็นพิพิธภัณฑสถานเขลางค์นคร แสดงโบราณวัตถุที่ชาวบ้านนำมาถวาย เมื่อปี พ.ศ. 2526 ชาวบ้านได้ขุดพบพระพุทธรูปทองคำบริสุทธิ์หนัก 100 บาทสองสลึง มามอบให้แก่ทางวัดซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้ชื่อว่า พระแสนแซ่ทองคำ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสมัยล้านนา อายุราวพุทธศตวรรษที่ 21 ขนาดหน้าตักกว้าง 9 นิ้วครึ่ง สูง 15 นิ้ว เป็นพระพุทธรูปทองคำองค์แรกที่ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุแห่งชาติ

++++++++++++++++++++++++

ประวัติรถม้าลำปาง
บทความโดย njoy เมื่อ อังคาร, 10/21/2008 จากเว็บไซต์ http://www.openbase.in.th/node/6807
ที่มา: เว็บไซต์ล้านนาคดี http://lanna.mju.ac.th/ มหาวิทยาลัยแม่โจ้


ความเป็นมา ของรถม้าลำปางจากคำบอกเล่าและบันทึกของเจ้าบุญส่ง ณ ลำปาง อดีตนายกสมาคมรถม้าคนที่ ๒ ของจังหวัดลำปาง ซึ่งอนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเดือนตุลาคม พงศ.๒๕๓๗ ได้รวบรวมไว้มีใจความว่า รถม้าเริ่มเข้ามาในจังหวัดลำปางเมื่อประมาณ ๘๐ ปีที่แล้ว รถม้าคันแรกคาดว่าเป็นของแขกหรือของเจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิตย์ เจ้าผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้ายซึ่งได้ซื้อมาจากกรุงเทพมหานคร โดยว่าจ้างแขกมาเป็นสารถี

ต่อมารถยนต์ในกรุงเทพฯ มีมากขึ้น รถม้าได้เริ่มอพยพมาในลำปางมากขึ้นและกระจัดกระจายไปตามหัวเมืองต่างๆ เช่น ภาคใต้ ได้แก่ นครศรีธรรมราช ภาคอีสาน ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา ส่วนภาคเหนือตอนบน ได้แก่ ลำปาง เชียงใหม่ เชียงราย แพร่ และน่าน ต่อมาปรากฏว่ามีเพียงจังหวัดลำปางที่นำรถม้ามาใช้อย่างแพร่หลาย ส่วนจังหวัดอื่นที่กล่าวมารถม้าได้หมดความนิยมไปโดยไม่ทราบสาเหตุ

อีกประมาณ ๓๙ ปี หลังจากที่รถม้าเริ่มเข้ามาวิ่งในจังหวัดลำปาง (พ.ศ.๒๔๙๒) ขุนอุทานคดี ซึ่งเป็นทนายของจังหวัดลำปาง เป็นผู้ก่อตั้งสมาคมล้อเลื่อนขึ้น โดยใช้ชื่อว่า สมาคมล้อเลื่อน จังหวัดลำปาง ตัวท่านดำรงตำแหน่งเป็นนายกสมาคมรถม้าคนแรกของจังหวัดลำปาง โดยร่างกฎและระเบียบว่าด้วยสมาคมขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๙๕ เจ้าบุญส่ง ณ ลำปาง ได้เข้ามาบริหารสมาคมแทนขุนอุทานคดีและเปลี่ยนชื่อสมาคมเป็นสมาคมรถม้า จังหวัดลำปาง โดยมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า THE HORSE CARRIAGE IN LAMPANG PROVINCE นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมากิจการรถม้าในลำปางได้เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปี พ.ศ.๒๕๐๑ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้มอบเงินให้แก่เจ้าบุญส่ง ณ ลำปาง และขอรับสมาคมรถม้าไว้ในความอุปถัมภ์ของรัฐบาล อีกทั้งได้ตั้งกองทุนให้สมาคมรถม้าอีก ๑ กองทุน

เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๐๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระเจ้าลูกยาเธอได้เสด็จพระราชดำเนินมายังจังหวัดลำปางในโอกาสนั้น เจ้าบุญส่ง ณ ลำปาง นายกสมาคม ได้น้อมเกล้าฯ ถวายรถม้าแบบ ๒ ล้อ พร้อมด้วยม้าเทียมรถ ชื่อบัลลังก์เพชรแด่พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวิชราลงกรณ์ ในนามของเจ้าบุญส่ง ณ ลำปาง และสมาคมรถม้า ซึ่งชาวรถม้าถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง

ตามสถิติของกรมตำรวจ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๗ รถม้าในจังหวัดลำปางมีจำนวนทั้งสิ้น ๑๘๕ คัน จากากรสำรวจครั้งล่าสุดเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๖ มีรถม้าลำปางเหลืออยู่เพียง ๗๐ คัน และที่วิ่งอยู่ตามท้องถนนจริงๆ มีเพียง ๕๐ คันเท่านั้น

ปัจจุบันนี้ท่าจอดรถม้าลำปางช่วงกลางวันจะอยู่ที่ข้างศาลากลางจังหวัดลำปาง ส่วนกลางคืนจะจอดทั้งที่ข้างศาลากลางจังหวัด และบริเวณหน้าโรงแรมต่างๆ อาทิเช่น โรงแรมเอเชีย โรงแรมทิพย์ช้าง โรงแรมลำปางเวียงทอง เป็นต้น สำหรับค่าโดยสารซึ่งสมาคมรถม้าลำปางได้กำหนดไว้มี ๓ อัตรา คือ รอบเมือง เที่ยวละ ๑๐๐ บาท รอบเมืองสองฝั่ง เที่ยวละ ๑๕๐ บาท เช่าเป็นชั่วโมง ชั่วโมงละ ๒๐๐ บาท (อัตราเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๗) โดยแต่ละเส้นทางมีดังนี้

ชมเมืองลำปางบนเส้นทางรถม้ารอบเมือง เริ่มจุดเริ่มต้นที่ข้างศาลากลางจังหวัด ผ่านถนนทิพย์ช้าง ซึ่งเป็นย่านธุรกิจ มีตึก และบ้านโบราณบางส่วน ชมแม่น้ำวัง ผ่านห้าแยกหอนาฬิกา ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวจะถ่ายภาพนั่งรถม้าเป็นที่ระลึก จากนั้นผ่านถนนบุญวาทย์ อันเป็นย่านธุรกิจการค้า สิ่งปลูกสร้างในยุคปัจจุบัน และสิ้นสุด ณ ข้างศาลากลางจังหวัด

ชมเมืองลำปางบนเส้นทางรถม้ารอบเมืองสองฝั่ง มีอยู่ ๒ เส้นทาง คือเส้นทางแรก เริ่มจากข้างศาลากลางจังหวัดผ่านถนนทิพย์ช้าง ชมแม่น้ำวัง บ้านไม้ทรงพื้นเมืองโบราณ “ บ้านบะเก่า ” ผ่านสวนสาธารณะเทศบาลเมืองลำปาง ผ่านย่านสุขสะอาดที่เป็นย่านบันเทิงในยามค่ำคืนบนถนนท่าคราวน้อยผ่านห้าแยก หอนาฬิกาเข้าสู่ถนนบุญวาทย์ และมาสิ้นสุดที่ข้างศาลากลางจังหวัด

สำหรับเส้นทางที่ ๒ เริ่มจากข้างศาลากลางจังหวัดเช่นเดียวกัน ข้ามแม่น้ำวังบนสะพานรัษฎาฯ หรือสะพานขาวอันเป็นสะพานเก่าแก่คู่เมืองลำปาง เลียบฝั่งน้ำวังด้านตะวันออก ข้ามสะพานพัฒนาภาคเหนือ สู่ฝั่งแม่น้ำวังด้านตะวันตก ผ่านห้าแยกหอนาฬิกา เข้าสู่ถนนบุญวาทย์ และสิ้นสุดการชมเมืองลำปางที่ข้างศาลากลางจังหวัด

ชมเมืองลำปางบนเส้นทางรถม้า โดยเช่าเป็นชั่วโมงสามารถที่จะเลือกเส้นทางท่องเที่ยวและชมเมืองตามที่ต้อง การ เช่น ข้ามแม่น้ำวังบนสะพานรัษฎาฯ ชมบ้าน “ เสานัก ” ซึ่งเป็นบ้านโบราณมีเสามากถึง ๑๑๖ ต้น ชมวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดารามและวัดเจดีย์ซาว เป็นต้น


อนึ่งหมู่บ้านรถม้า ซึ่งเป็นแหล่งของรถม้า คนขับรถม้าและแหล่งทำรถม้า มี ๕ หมู่บ้าน คือบ้านวังหม้อ บ้านท่าคราวน้อย บ้านศรีบุญเรือง บ้านนาก่วมเหนือ และบ้านนาก่วมใต้ การทำรถม้าจะทำเมื่อมีผู้ต้องการ ราคาคันละ ๔๕,๐๐๐ – ๕๐,๐๐๐ บาท(อัตราเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๗) ใช้เวลาประมาณ ๑-๒ เดือน จึงจะสำเร็จ ๑ คัน สำหรับม้าที่นำมาเทียมรถเป็นม้าที่ปลดระวางจากสนามแข่ง ราคาตัวละ ๒๐,๐๐๐ – ๕๐,๐๐๐ บาท (อัตราเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๗) การฝึกม้าเพื่อลากรถ หากเป็นม้าดีก็ใช้เวลาฝึกเพียง ๒-๓ วัน อาจมีบางตัวที่ต้องฝึกเป็นแรมเดือน

ลักษณะของรถม้าในเมืองลำปาง
รถม้าในเมืองลำปางเท่าที่พบเห็นอยู่ทั่วไป จำแนกได้ ๓ แบบ คือ

รถม้า ๔ ล้อ รับจ้างทั่วไป (Queen Victoria ) ใช้ม้าลาก ๑ หรือ ๒ ตัว หรือมากกว่า ตัวถังโค้งงอเป็นรูปท้องเรือ รถม้าที่นำไปจากลำปางไปรับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพมหานคร เนื่องในวันครบ ๘๐ ปี งานปศุสัตว์ก็เป็นรถม้าประเภทนี้

รถม้า ๒ ล้อ ( Tap ) จะใช้ม้าลาก ๑ หรือ ๒ ตัว ก็ได้ อาจใช้เป็นรถฝึกม้าหรือใช้ส่วนตัว

รถม้ากระบะ โดยมากเป็นแบบ ๔ ล้อ สมัยก่อนใช้ลากขนสินค้าหรือขยะมูลฝอย

ส่วนประกอบที่สำคัญของรถม้า มีดังนี้

• โครงหลังคา ทำด้วยผ้าเทียมหนังหรือหนัง สมัยก่อนจะทึบ เปิดปิดได้ ด้านในประกอบด้วยโครง ทำด้วยไม้หรือเหล็ก ๒ ข้าง ดันโครงหลังคาให้ตึง

• ตัวถัง ทำด้วยไม้บุด้วยทองเหลือหรือแผ่นเหล็กด้านหลัง และด้านข้างทั้ง ๒ ข้าง

• แหนบ รถม้าจะใช้แหนบประกบกันให้โค้งเป็นรูปไข่แหนบกว้าง ๑ ๑/๔ นิ้ว หัวท้ายยึดด้วยนอตยืดหยุ่นได้

• ลูกโม่ เป็นส่วนสำคัญหรือหัวใจของรถม้าในการเลี้ยงซ้ายและขวา

• ลูกล้อและเพลา ล้อไม้ ล้อหน้า ๑๒ ซี่ ล้อหลัง ๑๔ ซี่

• ตะเกียง รถม้า มีหลายรูปแบบ ของแท้ที่นำมาจากต่างประเทศหาดูได้ยาก จะมีให้ชมที่พิพิธภัณฑ์วัดพระแก้ว จังหวัดลำปาง ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นไฟแบตเตอรี่เกือบทุกคันเพราะรถยนต์มากขึ้น หากแสงจากตะเกียงไม่สว่างพอ จะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

• ระฆัง มี ๒ ฝา ประกบกัน มีเหล็กเหยียบ จะมีเสียงสะท้อนเป็น ๒ เสียง ดังกังวานไพเราะเมื่อเวลาขับขี่ และเป็นสัญลักษณ์แทนเสียงม้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมัน

-----------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น